เมื่อพูดถึงธุรกิจขายปลีกสินค้า ประเภทซื้อมาขายไปแน่นอนว่าในยุคปัจจุบัน หนึ่งในโมเดล หรือไอเดียที่ถือว่าอยู่ในกระแสและได้รับความสนใจจากเหล่านักขาย พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากก็คือ การสั่งนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายนั่นเอง เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าการสั่งสินค้าจากผู้ขายจีนนั้นมีข้อดีเรื่องของต้นทุนราคาสินค้าที่ต่ำ และมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย สามารถมองหาสินค้าที่แปลกใหม่แตกต่างจากคู่แข่งได้ง่าย โดยที่การเลือกสินค้าที่จะนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายนั้นก็อาจแตกต่างกันไปตามความสนใจ หรือความเชี่ยวชาญในตัวสินค้าของพ่อค้าแม่ค้าแต่ละคน ตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะถนัดเรื่องแฟชั่นเสื้อผ้า มีความรู้เรื่องผ้าชนิดต่างๆ ก็ย่อมเลือกสั่งสินค้าหมวดเสื้อผ้ามาจำหน่าย บางคนมีความเชี่ยวชาญเรื่องการใช้แก็ดเจ็ตไอทีต่างๆ ก็ย่อมเลือกนำเข้าสินค้าแก็ดเจ็ตมาจำหน่าย อย่างไรก็ตามนอกจากการเลือกหาสินค้าตามความสนใจ หรือความถนัดของผู้ขายแล้ว ในการสั่งนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายก็ยังคงมีปัญหาสำคัญอีกอย่างนึงให้นักขายหลายคนต้องตัดสินใจในขั้นตอนการเลือกสินค้า ซึ่งก็คือการเลือกว่าจะจำหน่ายสินค้าตามกระแส หรือไม่ตามกระแสดี เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าในธุรกิจซื้อมาขายไปนั้นมักจะมีช่วงเวลาทองให้พ่อค้าแม่ค้าได้ทำกำไรจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ อยู่ โดยเป็นช่วงเวลาที่สินค้าบางชนิด หรือบางหมวดหมู่เกิดเป็นกระแสขึ้นมาในหมู่ผู้บริโภค และมีความต้องการซื้อสินค้านั้นๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในบทความนี้จึงจะมาเปรียบเทียบให้เหล่านักขายที่สนใจนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายได้เห็นภาพกันว่าระหว่างสินค้าตามกระแส และไม่ตามกระแสนั้นมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนคุ้มค่าน่าลงทุนกว่ากัน
สินค้าตามกระแสมีการหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ สิ่งแรกที่ต้องบอกว่าเป็นทั้งข้อดี และข้อเสียของสินค้าตามกระแสก็คือความนิยมในตัวสินค้าที่มีการหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นั่นเอง ตัวอย่างเช่น บางช่วงเวลา เสื้อยืดคอวีอาจมีความนิยมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเวลาผ่านไปกระแสความนิยมและความต้องการสั่งซื้อจากลูกค้าก็เลือนหายไป, บางช่วงเวลารองเท้าแตะบางสี บางดีไซน์อาจเป็นกระแสความนิยมขึ้นมา และมีออเดอร์สั่งซื้อตามกระแสจากลูกค้าจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าโอกาสในการจำหน่ายสินค้าตามกระแสนั้นมีความหลากหลาย แปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ซึ่งในมุมของผู้ขาย หรือคนทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนก็ย่อมถือเป็นข้อดีที่สามารถมองหาสินค้าตามกระแสชิ้นใหม่มาจำหน่ายได้เรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นข้อเสียในเรื่องของระยะเวลาที่สินค้าชิ้นใดชิ้นนึงกำลังอยู่ในกระแส ซึ่งอาจคาดเดาได้ยากว่ากระแสจะสิ้นสุดภายในระยะเวลากี่วัน กี่สัปดาห์ หรือกี่เดือน ทำให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงเรื่องสินค้าค้างสต๊อก ระบายสินค้าในสต๊อกได้ไม่ทันกระแส
ราคาต้นทุนของสินค้าตามกระแสอาจพุ่งสูงขึ้นเกินจริง แม้ว่าการนำเข้าสินค้าจากจีนจะมีข้อดีเรื่องของต้นทุนราคาสินค้าโดยเฉลี่ยที่ต่ำกว่าแหล่งผลิต หรือแหล่งขายส่งในประเทศเรา แต่อย่างที่ทราบกันว่าราคาสินค้านั้นมักจะล้อกับความต้องการ หรือดีมานด์ของสินค้าชนิดนั้นๆด้วย ดังนั้นสินค้าตามกระแสที่ดีมานด์ในบางช่วงเวลาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงอาจถูกปรับขึ้นราคาจากผู้ขายในจีนได้เช่นกัน ทำให้ต้นทุนในการนำเข้าสินค้าจากจีนบางช่วงเวลาพุ่งสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแม้ว่าราคาขายปลีกในช่วงเวลานั้นๆจะพุ่งสูงตามจนคุ้มค่ากับราคาต้นทุนที่จ่ายไป แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อดีมานด์สินค้าลดต่ำลง จากกระแสนิยมที่ค่อยๆ จางหายไป ราคาจำหน่ายปลีกในตลาดก็จะปรับลดลงมาจนอยู่ในจุดที่ไม่คุ้มทุนได้นั่นเอง จึงนับเป็นอีกหนึ่งข้อเสียที่ต้องระมัดระวังและประเมิณความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจนำเข้าสินค้าจากจีนที่กำลังอยู่ในกระแสมาจำหน่าย
สินค้าตามกระแสมีความเสี่ยงเรื่องของระยะเวลาการจัดส่ง และต้นทุนค่าขนส่ง อีกหนึ่งข้อเปรียบเทียบสำคัญในการตัดสินใจเลือกขายสินค้าตามกระแส หรือไม่ตามกระแสก็คือ ระยะเวลาในการขนส่งสินค้านั่นเอง กล่าวคือในการนำเข้าสินค้าจากจีนอาจต้องใช้เวลารอสินค้านานราว 7-14 วัน(ในบางกรณีก็อาจนานกว่านั้น) ซึ่งหากเป็นสินค้าทั่วไป ไม่ตามกระแส และเป็นการสั่งนำเข้าสินค้าจากจีนมาเพื่อเติมสต๊อกสินค้าไว้จำหน่ายในระยะยาวก็อาจจะไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก แต่สำหรับสินค้าตามกระแส ช่วงระยะเวลาดังกล่าวอาจทำให้กระแสความนิยมในสินค้าชิ้นนั้นๆ จากหายไปก่อนจนไม่สามารถระบายสต๊อกได้ทันกระแสก็เป็นได้
