เมื่อพูดถึงธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีน ก็แน่นอนว่าโดยส่วนใหญ่แล้วพ่อค้าแม่ค้า หรือนักขายทั้งหลายมักจะโฟกัสที่ตัวสินค้า การเลือกหาสินค้าที่น่าสนใจในแพลตฟอร์มช้อปปิ้งต่างๆ ของจีน รวมถึงการพิจารณา เปรียบเทียบต้นทุนราคาสินค้า และกำไรที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนที่ควรให้ความสำคัญอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจในลักษณะซื้อมา ขายไป ซึ่งกำไรหลักๆ นั้นจะถูกกำหนดโดยต้นทุนราคาสินค้าที่เราสั่งนำเข้ามา ลบด้วยราคาขายปลีกที่เราขายออกไป อย่างไรก็ตามในการสั่งนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อนำมาจำหน่ายปลีกในประเทศ นอกเหนือจากตัวสินค้า ราคาต้นทุน ราคาจำหน่ายแล้ว ก็ยังมีปัจจัยหลังบ้านที่เราต้องโฟกัสอีกเช่นกัน โดยปัจจัยที่หลายคนอาจจะพอทราบ หรือได้รับคำแนะนำมาจากแหล่งต่างๆ บ้างแล้วก็คงจะเป็นเรื่องของการทำการตลาด โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ หรือสื่อโซเชียลต่างๆ ซึ่งก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราเป็นที่รู้จัก มีลูกค้า และสามารถขายสินค้าได้จริง แต่ทว่านอกเหนือจากปัจจัยการตลาดนี้แล้ว การทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนที่นับเป็นธุรกิจพาณิชย์ หรือการขายสินค้าและบริการชนิดหนึ่งก็ยังมีปัจจัยหลังบ้านอื่นๆ ที่หลายคนอาจมองข้ามให้เราต้องบริหารจัดการอีก โดยในบทความนี้เองจะมาแนะนำบอกกล่าวให้ได้ทราบกันว่ามีเรื่องใด ปัจจัยใดบ้างที่เราต้องจัดการเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างลื่นไหล ไม่ติดขัดปัญหาใดๆ
การจดทะเบียนพาณิชย์ เรื่องแรกที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าหลายคนมักมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนในรูปแบบของธุรกิจเสริม หรือการหารายได้พิเศษก็คือ การจดทะเบียนพาณิชย์นั่นเอง ทั้งที่จริงแล้วการประกอบธุรกิจค้าขายในลักษณะใดๆ ก็ตาม ล้วนสามารถยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ได้ตามความเหมาะสมของลักษณะการดำเนินธุรกิจ และการจดทะเบียนนั้นก็มีประโยชน์ต่อธุรกิจพอสมควร ไม่ว่าจะในเรื่องของความน่าเชื่อถือของร้าน การบริหารจัดการภาษีในอนาคต รวมถึงการหาเงินทุนเพื่อขยายกิจการในอนาคต ซึ่งหลักฐานการจดทะเบียนพาณิชย์นั้นสามารถใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นขอสินเชื่อเพื่อขยายธุรกิจจากสถาบันการเงินต่างๆ ได้โดยมีโอกาสได้รับพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมากกว่าธุรกิจ หรือร้านที่ไม่ได้มีการจดทะเบียน ทั้งนี้กรณีที่นำเข้าสินค้าจากจีนมาเพื่อจำหน่ายปลีกผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มโซเชียล โดยไม่มีร้านก็สามารถยื่นจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้
การจัดการภาษี ภาษีกับธุรกิจต่างๆ ถือว่าเป็นสิ่งมาควบคู่กัน เช่นเดียวกับธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีน หลายคนอาจพอทราบอยู่แล้วว่า ในการสั่งนำเข้าสินค้าจากจีนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ แต่ละครั้งนั้น เราจำเป็นต้องชำระภาษีนำเข้าแก่ศุลกากร ซึ่งสินค้าบางรายการอาจจะได้รับการยกเว้นตามเกณฑ์ เช่น สินค้าที่มูลค่ารวมต่ำกว่า 1,500 บาท เป็นต้น โดยหลักฐานการชำระภาษีดังกล่าวนี้แต่ละครั้งถือเป็นเอกสารสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องเก็บรวบรวมไว้ ขณะเดียวกันนอกเหนือจากภาษีนำเข้าที่ชำระแก่ศุลกากรแล้ว การทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนก็ยังจำเป็นต้องมีการยื่นภาษีเงินได้แก่สรรพากรเช่นกัน ทั้งนี้การยื่นภาษีเงินได้แก่สรรพากรนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้ธุรกิจมีกำไรเยอะๆ ก่อนแล้วค่อยทำการยื่น เราสามารถนำหลักฐานการแสดงรายได้ เช่น สเตทเม้นท์ธนาคาร บัญชีแสดงรายได้(กำไร หรือขาดทุน) ยื่นแก่สรรพากรได้ทันทีตั้งแต่เริ่มต้นนำเข้าสินค้าจากจีนมาขาย หรือเปิดร้านในช่วงแรกๆ ซึ่งหากรายได้ หรือกำไรไม่ถึงเกณฑ์ชำระภาษี เราก็จะได้รับการยกเว้นภาษีตามสิทธิพึงได้ และยังจะช่วยให้สบายใจได้ว่าจะไม่ถูกเรียกตรวจสอบ และเรียกเก็บภาษีย้อนหลังในอนาคต นอกจากนี้การยื่นภาษีให้ถูกต้องนั้นยังจะมีประโยชน์ในการขอสิทธิลดหย่อนภาษี โดยการนำเอาหลักฐานค่าใช้จ่ายในธุรกิจต่างๆ ที่เข้าเกณฑ์ไปยื่นขอรับสิทธิในอนาคตได้อีกด้วย